ทางเลือกที่ไม่ได้เลือก | One way to choose |
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
คุณแม่เล่าให้ฟังว่าเธอมีลูกชาย ตอนเด็กๆ ค่อนข้างเงียบ พูดจาน่ารัก เชื่อฟังมาก บอกให้ทำอะไรก็ทำ บอกให้อ่านหนังสือก็อ่าน จัดตารางให้ไปเรียนพิเศษกี่วิชาก็ไป เรียนก็ได้คะแนนดี โดนเพื่อนแกล้งก็ไม่เคยแกล้งกลับ ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็อดทนไว้ได้ เรียกว่าได้ดั่งใจแม่มากทีเดียว ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ปัจจุบันลูกชายเป็นวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยมแล้ว กลายเป็นว่าชอบหงุดหงิดใส่แม่ แม่พูดอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ สั่งสอน ห้าม หรือเตือนก็เถียงกลับไม่ยอมทำตามอย่างแต่ก่อน ติดเกม เล่นไม่เลิก หลายครั้งก็กระแทกกระทั้นปึงปังใส่แม่ แต่กับเพื่อนไม่กล้า เรียกว่าเก่งแต่กับแม่เท่านั้น เวลาอยู่กับคนอื่นก็ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย รอแต่จะถามแม่ทุกครั้งไป ซึ่งเเม่เองก็ยินดีช่วยแก้ปัญหาให้เสมอ แต่ก็ทำให้แม่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ลูกชายที่น่ารักของเธอมีอารมณ์และพฤติกรรมก้าวร้าวแบบนี้ และเมื่อไหร่ลูกจะโตพอที่จะคิดตัดสินใจอะไรได้เองบ้าง
วันหนึ่งแม่บอกว่าจะให้ย้ายโรงเรียนในสัปดาห์ต่อไป แม่ทำเรื่องที่โรงเรียนไว้แล้ว เพราะแม่มองว่าโรงเรียนใหม่มีวิชาการเข้มข้นกว่าที่เดิม ลูกชายจึงระเบิดอารมณ์ใส่แม่ว่า
"แม่ชอบบังคับให้ทำทุกอย่างที่แม่ต้องการตั้งแต่เด็กยันโตไม่เคยถามความรู้สึกบ้างเลยว่าอยากทำมั้ยเหนื่อยหรือเปล่า"
"ต่อให้บอกว่าไม่อยากแม่ก็ยังบังคับอยู่ดี"
"เลือกก็เหมือนไม่ได้เลือก สุดท้ายแม่ก็บังคับอยู่ดี"
"เลือกได้อย่างเดียวคือต้องทำ"
"ขอเลือกเองบ้างได้มั้ย"
หลังจากนั้นก็ทะเลาะกันรุนแรงจนแม่เผลอพลั้งปากว่า "ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องอยู่บ้านนี้ จะไปไหนก็ไป" ลูกก็โต้กลับว่า "ซักวันนึงจะไปจริงๆ" แม่ได้แต่ร้องไห้เสียใจ
ด้วยความรักของคุณแม่ เชื่อเหลือเกินว่าคุณแม่คงอยากจะเลือกสิ่งที่ดีสุดให้ลูกเสมอ หากรู้ว่าถนนหนทางข้างหน้าไกล ก็อยากจะบอกทางลัดให้ลูกได้เดินสบายขึ้น หากเห็นลูกมีท่าทางลังเล ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา ก็อยากจะชี้ทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องมาลองผิดลองถูก เหนื่อยยาก หรือลำบากอย่างที่เราเคยเจอ
เราจะ "คิดพิจารณา" "ตัดสินใจ" และ "เลือก" วิธีที่ดีที่สุดให้เขาเอง เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เสียเวลา แถมยังน่าจะช่วยให้เขาพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น
เด็กบางคน หากคุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีนี้ในตอนที่เขายังเล็กอาจจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้ว่าจะรู้สึกไม่ชอบ อึดอัด โมโห เศร้า ก็เก็บไว้ แล้วยอมทำตามแต่โดยดี เพราะกลัวว่าจะโดนลงโทษรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการดุด่า การตี การหยิก ที่ทำให้เขาเจ็บทั้งกายและใจ
แต่เมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่น เขาก็มีความคิดความอ่านที่เปลี่ยนไป มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อยากรู้อยากเห็น อยากคิดหรือตัดสินใจ ทดลองทำสิ่งแปลกใหม่ด้วยตัวเองมากขึ้น ทำอะไรได้เองโดยไม่ต้องง้อพ่อแม่เท่าไหร่แล้ว เขาปกป้องตัวเองได้มากขึ้น
วิธีการเลี้ยงดูแบบเดิมที่ยึดเอาความคิด ความต้องการของพ่อแม่เป็นหลัก ไม่ได้รับฟังลูก คอยคิดพิจารณา ตัดสินใจ และเลือกให้โดยไม่ถามความรู้สึกหรือความคิดเห็นของลูกบ่อยๆ เข้า ความอึดอัดที่สะสมมาเรื่อยๆตั้งแต่เด็ก ก็ระเบิดออกมาได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าคิดกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง กลัวผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง
จึงอยากแนะนำคุณพ่อคุณแม่ ให้โอกาสลูก ได้คิด พิจารณา ตัดสินใจ และเลือกสิ่งที่เขาชอบเองบ้างนะคะ ถนนเส้นนั้นอาจจะไม่ได้สวย หรือราบเรียบอย่างที่เราอยากให้เขาเดิน แต่จะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับลูก หรือไม่แน่ถนนเส้นนั้นอาจจะสวยงามกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คิดก็ได้นะคะ เพราะนั่นคือชีวิตของลูก เขามีสิทธิที่จะเลือกรูปแบบชีวิตของตัวเอง และรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือก หากเราทำได้อาจจะได้เห็นรอยยิ้มของลูกเพิ่มขึ้น และเห็นศักยภาพของเขามากขึ้นนะคะ
• หน้าที่ของเรา คือ เป็นจุดแวะพักใจให้ลูก ในวันที่ลูกเหนื่อยล้า ท้อแท้ เพื่อให้เขาได้หยุดพัก ได้คิดทบทวน และมีพลังในการก้าวต่อไป
เขียนและเรียบเรียง
ปันณ์นภัส ธนอริยาไพศาล (นักจิตวิทยา)
Photo by Nick Tiemeyer on Unsplash
แต่ปัจจุบันลูกชายเป็นวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยมแล้ว กลายเป็นว่าชอบหงุดหงิดใส่แม่ แม่พูดอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ สั่งสอน ห้าม หรือเตือนก็เถียงกลับไม่ยอมทำตามอย่างแต่ก่อน ติดเกม เล่นไม่เลิก หลายครั้งก็กระแทกกระทั้นปึงปังใส่แม่ แต่กับเพื่อนไม่กล้า เรียกว่าเก่งแต่กับแม่เท่านั้น เวลาอยู่กับคนอื่นก็ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย รอแต่จะถามแม่ทุกครั้งไป ซึ่งเเม่เองก็ยินดีช่วยแก้ปัญหาให้เสมอ แต่ก็ทำให้แม่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ลูกชายที่น่ารักของเธอมีอารมณ์และพฤติกรรมก้าวร้าวแบบนี้ และเมื่อไหร่ลูกจะโตพอที่จะคิดตัดสินใจอะไรได้เองบ้าง
วันหนึ่งแม่บอกว่าจะให้ย้ายโรงเรียนในสัปดาห์ต่อไป แม่ทำเรื่องที่โรงเรียนไว้แล้ว เพราะแม่มองว่าโรงเรียนใหม่มีวิชาการเข้มข้นกว่าที่เดิม ลูกชายจึงระเบิดอารมณ์ใส่แม่ว่า
"แม่ชอบบังคับให้ทำทุกอย่างที่แม่ต้องการตั้งแต่เด็กยันโตไม่เคยถามความรู้สึกบ้างเลยว่าอยากทำมั้ยเหนื่อยหรือเปล่า"
"ต่อให้บอกว่าไม่อยากแม่ก็ยังบังคับอยู่ดี"
"เลือกก็เหมือนไม่ได้เลือก สุดท้ายแม่ก็บังคับอยู่ดี"
"เลือกได้อย่างเดียวคือต้องทำ"
"ขอเลือกเองบ้างได้มั้ย"
หลังจากนั้นก็ทะเลาะกันรุนแรงจนแม่เผลอพลั้งปากว่า "ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องอยู่บ้านนี้ จะไปไหนก็ไป" ลูกก็โต้กลับว่า "ซักวันนึงจะไปจริงๆ" แม่ได้แต่ร้องไห้เสียใจ
ด้วยความรักของคุณแม่ เชื่อเหลือเกินว่าคุณแม่คงอยากจะเลือกสิ่งที่ดีสุดให้ลูกเสมอ หากรู้ว่าถนนหนทางข้างหน้าไกล ก็อยากจะบอกทางลัดให้ลูกได้เดินสบายขึ้น หากเห็นลูกมีท่าทางลังเล ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา ก็อยากจะชี้ทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องมาลองผิดลองถูก เหนื่อยยาก หรือลำบากอย่างที่เราเคยเจอ
เราจะ "คิดพิจารณา" "ตัดสินใจ" และ "เลือก" วิธีที่ดีที่สุดให้เขาเอง เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เสียเวลา แถมยังน่าจะช่วยให้เขาพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น
เด็กบางคน หากคุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีนี้ในตอนที่เขายังเล็กอาจจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้ว่าจะรู้สึกไม่ชอบ อึดอัด โมโห เศร้า ก็เก็บไว้ แล้วยอมทำตามแต่โดยดี เพราะกลัวว่าจะโดนลงโทษรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการดุด่า การตี การหยิก ที่ทำให้เขาเจ็บทั้งกายและใจ
แต่เมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่น เขาก็มีความคิดความอ่านที่เปลี่ยนไป มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อยากรู้อยากเห็น อยากคิดหรือตัดสินใจ ทดลองทำสิ่งแปลกใหม่ด้วยตัวเองมากขึ้น ทำอะไรได้เองโดยไม่ต้องง้อพ่อแม่เท่าไหร่แล้ว เขาปกป้องตัวเองได้มากขึ้น
วิธีการเลี้ยงดูแบบเดิมที่ยึดเอาความคิด ความต้องการของพ่อแม่เป็นหลัก ไม่ได้รับฟังลูก คอยคิดพิจารณา ตัดสินใจ และเลือกให้โดยไม่ถามความรู้สึกหรือความคิดเห็นของลูกบ่อยๆ เข้า ความอึดอัดที่สะสมมาเรื่อยๆตั้งแต่เด็ก ก็ระเบิดออกมาได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าคิดกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง กลัวผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง
จึงอยากแนะนำคุณพ่อคุณแม่ ให้โอกาสลูก ได้คิด พิจารณา ตัดสินใจ และเลือกสิ่งที่เขาชอบเองบ้างนะคะ ถนนเส้นนั้นอาจจะไม่ได้สวย หรือราบเรียบอย่างที่เราอยากให้เขาเดิน แต่จะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับลูก หรือไม่แน่ถนนเส้นนั้นอาจจะสวยงามกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คิดก็ได้นะคะ เพราะนั่นคือชีวิตของลูก เขามีสิทธิที่จะเลือกรูปแบบชีวิตของตัวเอง และรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือก หากเราทำได้อาจจะได้เห็นรอยยิ้มของลูกเพิ่มขึ้น และเห็นศักยภาพของเขามากขึ้นนะคะ
• หน้าที่ของเรา คือ เป็นจุดแวะพักใจให้ลูก ในวันที่ลูกเหนื่อยล้า ท้อแท้ เพื่อให้เขาได้หยุดพัก ได้คิดทบทวน และมีพลังในการก้าวต่อไป
เขียนและเรียบเรียง
ปันณ์นภัส ธนอริยาไพศาล (นักจิตวิทยา)
Photo by Nick Tiemeyer on Unsplash
เน็ตป๊าม้า ขอแนะนำหลักสูตรออนไลน์ สอนเทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก
คอร์สเร่งรัด
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่มีพื้นฐานการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกอยู่แล้ว
แต่ต้องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเด็กที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คอร์สจัดเต็ม
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเรียนรู้และฝึกใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็ก
อย่างเป็นขั้นบันได เพื่อเตรียมพร้อมที่จะนำไปรับมือกับปัญหาพฤติกรรมเด็ก
อย่างมั่นใจ