ลูกจะเชื่อในแม่ก็ต่อเมื่อแม่เชื่อในลูก
เมื่อ 1 สัปดาห์ที่แล้ว
ลูกจะเชื่อในแม่ก็ต่อเมื่อแม่เชื่อในลูก #น้าหมอขอแชร์
.
สัปดาห์ที่แล้วหมอได้ดูคลิปสัมภาษณ์ของคุณแอฟ ทักษอรในรายการป๋าเต็ดทอล์ค คุณแอฟมาเล่าถึงชีวิตส่วนตัว ทั้งในเรื่องการแยกทางกับสามีและการเลี้ยงลูกสาว ‘น้องปีใหม่’ มีช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ที่ป๋าเต็ดถามน้องปีใหม่ว่า ‘หนูเชื่อในอะไร’ น้องปีใหม่คิดอยู่สักพักก็ตอบกลับไปว่า ‘หนูเชื่อในแม่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะอยู่ตรงนั้นและสิ่งที่แม่สอนหนูมาตลอดมันจะอยู่ตลอดไป’
.
หมอเชื่อว่าผู้ฟังหลายๆ ท่านคงจะรู้สึกซาบซึ้งกับคำตอบของน้องปีใหม่และอดปลื้มใจแทนคุณแอฟไม่ได้ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกสาวให้เติบโตมาเป็นอย่างดีและคุณแม่อีกหลายท่านอาจจะมีคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับลูกจนลูกเชื่อมั่นในตัวเราได้แบบนี้ ซึ่งในรายการคุณแอฟบอกว่า การเลี้ยงดูของครอบครัว สังคมรอบข้างที่หล่อหลอมให้เธอเติบโตมาเป็นคนที่แข็งแกร่งจากภายในทำให้เธอสามารถส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปให้น้องปีใหม่ได้
.
การเลี้ยงดูที่ทำให้แข็งแกร่งจากภายในนั้นเป็นอย่างไร ต้องสร้างสัมพันธภาพกับลูกอย่างไรจึงจะทำให้ลูกมีความมั่นคงทางจิตใจและไว้ใจพ่อแม่ได้ หมอคงต้องขอเริ่มจากทฤษฎีของจิตแพทย์ชาวอังกฤษที่ชื่อว่า John Bowlby ผู้ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับการสร้างความผูกพันทางใจระหว่างเด็กและผู้เลี้ยงดู (Attachment theory) John Bowlby กล่าวว่าเด็กและผู้เลี้ยงดูจะมีช่วงเวลาทอง (critical period) ในการสร้างสัมพันธภาพอยู่ที่ไม่เกิน 2-5 ปี หากเลยช่วงอายุ 5 ปีไปแล้ว เด็กๆที่สร้างสัมพันธภาพกับผู้เลี้ยงดูหลัก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคุณแม่) ได้ไม่แนบแน่นพอ เด็กๆเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพและมีปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคต
.
John Bowlby ได้กล่าวว่า หากผู้เลี้ยงดูหลักแสดงพฤติกรรมใดก็ตามให้เด็กได้เห็น เด็กๆก็จะมีมุมมองต่อตนเองแบบนั้น หลักการนี้มีชื่อว่า “Internal working model” หากผู้เลี้ยงดูตอบสนองเด็กด้วยอารมณ์หงุดหงิดหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่สม่ำเสมอ เด็กจะมีลักษณะต่อต้าน หากผู้เลี้ยงดูมีท่าทีปฏิเสธเด็กหรือไม่แสดงออกถึงความรัก เด็กจะมีลักษณะหลีกเลี่ยงและไม่เข้าหา แต่หากผู้เลี้ยงดูตอบสนองเด็กด้วยพฤติกรรมเชิงบวก ให้ความรัก เด็กจะหรือรู้สึกปลอดภัย มั่นคงและเชื่อมั่นในตัวผู้เลี้ยงดูอย่างสนิทใจ และความเชื่อมั่นนี้เองคือ สายสัมพันธ์ที่มั่นคง (Secure Attachment)
.
แล้วผู้เลี้ยงดูจะสร้างสายสัมพันธ์นี้ได้อย่างไรบ้าง อันดับแรกคือ การตอบสนองต่อความต้องการของเด็กอย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าเด็กร้องเมื่อหิว เด็กควรได้รับการตอบสนองด้วยอาหาร หรือหากเด็กร้องเมื่อรู้สึกไม่สบายตัวเพราะผ้าอ้อมเฉอะแฉะ เด็กควรได้รับการเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที หากเด็กได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอซ้ำๆ เด็กก็จะเริ่มรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย เพราะทุกครั้งที่ไม่สบายตัวก็มีผู้เลี้ยงดูคอยตอบสนองเสมอ เมื่อเด็กโตขึ้นในวัยที่เริ่มมีภาษา ผู้เลี้ยงดูก็ควรฝึกได้ให้เด็กสื่อสารความต้องการด้วยภาษาพูดและภาษากายที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารเรื่องอารมณ์
.
ผู้เลี้ยงดูสามารถสอนให้เด็กรู้จักชื่ออารมณ์ต่างๆได้ โดยการใช้ภาพ ใช้สีแทนชื่ออารมณ์ต่างๆและใช้การบอกสะท้อนอารมณ์ให้กับเด็กที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เช่น หากเด็กร้องงอแงเมื่ออยากได้สิ่งของ ผู้เลี้ยงดูต้องสะท้อนว่า การกระทำนี้ของเด็กคือ อารมณ์โกรธ เพื่อให้เด็กสามารถเชื่อมโยงอารมณ์ของตัวเองกับการกระทำที่เกิดขึ้น และบอกวิธีสื่อสารที่อยากให้เด็กทำมากกว่าการร้องงอแง เช่น ให้พูดขอสิ่งของด้วยคำพูดสุภาพและรอคอย และเมื่อเด็กสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้หรือร่วมมือได้มากขึ้น ผู้เลี้ยงดูควรให้คำชมทันทีหหรือใช้ภาษาท่าทาง เช่น ยกนิ้วโป้ง ยิ้มให้ กอด หอม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ต้องอาศัยระยะเวลาและผู้เลี้ยงดูควรระลึกอยู่เสมอว่า
.
กระบวนการทั้งหมดนี้จะต้องทำด้วยความสม่ำเสมอและใช้วิธีการเชิงบวก ได้แก่ ชื่นชม รับฟัง ไม่ตัดสิน เพราะหากไม่สม่ำเสมอและใช้วิธีการเชิงลบ เช่น ขู่ ตำหนิ ทำโทษอย่างรุนแรง ผลที่ได้จะกลายเป็นสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคงและส่งผลต่อชีวิตของเด็กๆในระยะยาว
.
ในการที่ผู้เลี้ยงดูจะมีความสม่ำเสมอได้นั้น ตัวผู้เลี้ยงดูเองก็อาจจะต้องฝึกฝนตัวเองให้จัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม ฝึกการพูดสื่อสารในเชิงบวก ฝึกการชมอย่างมีประสิทธิภาพ (สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ผ่าน www.netpama.com) แบ่งเวลาจากการทำงานมาใช้เวลาเล่นกับเด็กๆ เพื่อให้ได้มีช่วงเวลาคุณภาพในการสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งหากผู้เลี้ยงดู (ส่วนใหญ่คือคุณพ่อคุณแม่) สามารถปรับวิธีการดูแลและตอบสนองลูกอย่างถูกต้อง สายสัมพันธ์ที่มั่นคงก็จะเกิดขึ้นเหมือนที่น้องปีใหม่มีต่อคุณแอฟ เพราะน้องปีใหม่รับรู้อยู่ในใจตลอดว่าคุณแอฟมีความสม่ำเสมอและตอบสนองความต้องการของน้องปีใหม่อย่างอ่อนโยนด้วยการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน เข้าใจและเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นในทุกสถานการณ์โดยก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม ไม่ใช้การตามใจมากเกินไป (เพราะการตามใจจะเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมต่อต้านในท้ายที่สุดเนื่องจากเด็กจะสับสนและขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง) และทุกๆบ้านก็สามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่มั่นคงได้หากมีความตั้งใจและได้เรียนรู้เทคนิคดีๆจาก Net PAMA ค่ะ
Positive Parenting Anywhere Anytime มาเลี้ยงลูกเชิงบวกกับ 'เน็ตป๊าม้า' หลักสูตรออนไลน์สอนเทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก
Empower Families, Enrich Societies
เสริมพลังครอบครัว, สร้างพลังสังคม
#Netpama #เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก
.
สัปดาห์ที่แล้วหมอได้ดูคลิปสัมภาษณ์ของคุณแอฟ ทักษอรในรายการป๋าเต็ดทอล์ค คุณแอฟมาเล่าถึงชีวิตส่วนตัว ทั้งในเรื่องการแยกทางกับสามีและการเลี้ยงลูกสาว ‘น้องปีใหม่’ มีช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ที่ป๋าเต็ดถามน้องปีใหม่ว่า ‘หนูเชื่อในอะไร’ น้องปีใหม่คิดอยู่สักพักก็ตอบกลับไปว่า ‘หนูเชื่อในแม่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะอยู่ตรงนั้นและสิ่งที่แม่สอนหนูมาตลอดมันจะอยู่ตลอดไป’
.
หมอเชื่อว่าผู้ฟังหลายๆ ท่านคงจะรู้สึกซาบซึ้งกับคำตอบของน้องปีใหม่และอดปลื้มใจแทนคุณแอฟไม่ได้ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกสาวให้เติบโตมาเป็นอย่างดีและคุณแม่อีกหลายท่านอาจจะมีคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับลูกจนลูกเชื่อมั่นในตัวเราได้แบบนี้ ซึ่งในรายการคุณแอฟบอกว่า การเลี้ยงดูของครอบครัว สังคมรอบข้างที่หล่อหลอมให้เธอเติบโตมาเป็นคนที่แข็งแกร่งจากภายในทำให้เธอสามารถส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปให้น้องปีใหม่ได้
.
การเลี้ยงดูที่ทำให้แข็งแกร่งจากภายในนั้นเป็นอย่างไร ต้องสร้างสัมพันธภาพกับลูกอย่างไรจึงจะทำให้ลูกมีความมั่นคงทางจิตใจและไว้ใจพ่อแม่ได้ หมอคงต้องขอเริ่มจากทฤษฎีของจิตแพทย์ชาวอังกฤษที่ชื่อว่า John Bowlby ผู้ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับการสร้างความผูกพันทางใจระหว่างเด็กและผู้เลี้ยงดู (Attachment theory) John Bowlby กล่าวว่าเด็กและผู้เลี้ยงดูจะมีช่วงเวลาทอง (critical period) ในการสร้างสัมพันธภาพอยู่ที่ไม่เกิน 2-5 ปี หากเลยช่วงอายุ 5 ปีไปแล้ว เด็กๆที่สร้างสัมพันธภาพกับผู้เลี้ยงดูหลัก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคุณแม่) ได้ไม่แนบแน่นพอ เด็กๆเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพและมีปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคต
.
John Bowlby ได้กล่าวว่า หากผู้เลี้ยงดูหลักแสดงพฤติกรรมใดก็ตามให้เด็กได้เห็น เด็กๆก็จะมีมุมมองต่อตนเองแบบนั้น หลักการนี้มีชื่อว่า “Internal working model” หากผู้เลี้ยงดูตอบสนองเด็กด้วยอารมณ์หงุดหงิดหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่สม่ำเสมอ เด็กจะมีลักษณะต่อต้าน หากผู้เลี้ยงดูมีท่าทีปฏิเสธเด็กหรือไม่แสดงออกถึงความรัก เด็กจะมีลักษณะหลีกเลี่ยงและไม่เข้าหา แต่หากผู้เลี้ยงดูตอบสนองเด็กด้วยพฤติกรรมเชิงบวก ให้ความรัก เด็กจะหรือรู้สึกปลอดภัย มั่นคงและเชื่อมั่นในตัวผู้เลี้ยงดูอย่างสนิทใจ และความเชื่อมั่นนี้เองคือ สายสัมพันธ์ที่มั่นคง (Secure Attachment)
.
แล้วผู้เลี้ยงดูจะสร้างสายสัมพันธ์นี้ได้อย่างไรบ้าง อันดับแรกคือ การตอบสนองต่อความต้องการของเด็กอย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าเด็กร้องเมื่อหิว เด็กควรได้รับการตอบสนองด้วยอาหาร หรือหากเด็กร้องเมื่อรู้สึกไม่สบายตัวเพราะผ้าอ้อมเฉอะแฉะ เด็กควรได้รับการเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที หากเด็กได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอซ้ำๆ เด็กก็จะเริ่มรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย เพราะทุกครั้งที่ไม่สบายตัวก็มีผู้เลี้ยงดูคอยตอบสนองเสมอ เมื่อเด็กโตขึ้นในวัยที่เริ่มมีภาษา ผู้เลี้ยงดูก็ควรฝึกได้ให้เด็กสื่อสารความต้องการด้วยภาษาพูดและภาษากายที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารเรื่องอารมณ์
.
ผู้เลี้ยงดูสามารถสอนให้เด็กรู้จักชื่ออารมณ์ต่างๆได้ โดยการใช้ภาพ ใช้สีแทนชื่ออารมณ์ต่างๆและใช้การบอกสะท้อนอารมณ์ให้กับเด็กที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เช่น หากเด็กร้องงอแงเมื่ออยากได้สิ่งของ ผู้เลี้ยงดูต้องสะท้อนว่า การกระทำนี้ของเด็กคือ อารมณ์โกรธ เพื่อให้เด็กสามารถเชื่อมโยงอารมณ์ของตัวเองกับการกระทำที่เกิดขึ้น และบอกวิธีสื่อสารที่อยากให้เด็กทำมากกว่าการร้องงอแง เช่น ให้พูดขอสิ่งของด้วยคำพูดสุภาพและรอคอย และเมื่อเด็กสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้หรือร่วมมือได้มากขึ้น ผู้เลี้ยงดูควรให้คำชมทันทีหหรือใช้ภาษาท่าทาง เช่น ยกนิ้วโป้ง ยิ้มให้ กอด หอม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ต้องอาศัยระยะเวลาและผู้เลี้ยงดูควรระลึกอยู่เสมอว่า
.
กระบวนการทั้งหมดนี้จะต้องทำด้วยความสม่ำเสมอและใช้วิธีการเชิงบวก ได้แก่ ชื่นชม รับฟัง ไม่ตัดสิน เพราะหากไม่สม่ำเสมอและใช้วิธีการเชิงลบ เช่น ขู่ ตำหนิ ทำโทษอย่างรุนแรง ผลที่ได้จะกลายเป็นสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคงและส่งผลต่อชีวิตของเด็กๆในระยะยาว
.
ในการที่ผู้เลี้ยงดูจะมีความสม่ำเสมอได้นั้น ตัวผู้เลี้ยงดูเองก็อาจจะต้องฝึกฝนตัวเองให้จัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม ฝึกการพูดสื่อสารในเชิงบวก ฝึกการชมอย่างมีประสิทธิภาพ (สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ผ่าน www.netpama.com) แบ่งเวลาจากการทำงานมาใช้เวลาเล่นกับเด็กๆ เพื่อให้ได้มีช่วงเวลาคุณภาพในการสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งหากผู้เลี้ยงดู (ส่วนใหญ่คือคุณพ่อคุณแม่) สามารถปรับวิธีการดูแลและตอบสนองลูกอย่างถูกต้อง สายสัมพันธ์ที่มั่นคงก็จะเกิดขึ้นเหมือนที่น้องปีใหม่มีต่อคุณแอฟ เพราะน้องปีใหม่รับรู้อยู่ในใจตลอดว่าคุณแอฟมีความสม่ำเสมอและตอบสนองความต้องการของน้องปีใหม่อย่างอ่อนโยนด้วยการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน เข้าใจและเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นในทุกสถานการณ์โดยก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม ไม่ใช้การตามใจมากเกินไป (เพราะการตามใจจะเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมต่อต้านในท้ายที่สุดเนื่องจากเด็กจะสับสนและขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง) และทุกๆบ้านก็สามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่มั่นคงได้หากมีความตั้งใจและได้เรียนรู้เทคนิคดีๆจาก Net PAMA ค่ะ
Positive Parenting Anywhere Anytime มาเลี้ยงลูกเชิงบวกกับ 'เน็ตป๊าม้า' หลักสูตรออนไลน์สอนเทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก
Empower Families, Enrich Societies
เสริมพลังครอบครัว, สร้างพลังสังคม
#Netpama #เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก

เน็ตป๊าม้า ขอแนะนำหลักสูตรออนไลน์ สอนเทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก
คอร์สเร่งรัด
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่มีพื้นฐานการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกอยู่แล้ว
แต่ต้องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเด็กที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คอร์สจัดเต็ม
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเรียนรู้และฝึกใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็ก
อย่างเป็นขั้นบันได เพื่อเตรียมพร้อมที่จะนำไปรับมือกับปัญหาพฤติกรรมเด็ก
อย่างมั่นใจ