สอนให้ลูกรู้จักทักษะทางสังคม
สอนให้ลูกรู้จักทักษะทางสังคม
เคารพตัวเองและเคารพผู้อื่น เห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจในการอยู่ร่วมกัน บทความโดย #มัมมี่Bชวนเมาท์
เพราะลูกๆของเราเติบโตในยุคที่ให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพอย่างมาก จนทำให้บางคนอาจจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ตั้งตนเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ใช้ความรู้สึกของตัวเองตัดสิน มองข้ามความรู้สึกและสิทธิของผู้อื่น ทำให้การเคารพซึ่งกันและกันซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการอยู่ร่วมกันถูกละเลยไป จึงเกิดเป็นเหตุการณ์ในสังคมที่เราพบเห็นได้บ่อยๆ จนเริ่มจะกลายเป็นความเคยชินด้วยตรรกะที่ว่า
“มันเป็นสิทธิของฉัน ใครๆ เขาก็ทำกัน“
เช่น นักแสดงเป็นบุคคลสาธารณะ บางคนวิพากษ์วิจารณ์วิจารณ์ใครอย่างไรก็ได้ แต่เกินขอบเขตก็สามารถเกิดกรณีฟ้องร้องกัน
ซื้อของใช้เวลาไม่มาก จอดรถตรงนี้แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร ใครๆก็จอด จนทำให้ผู้อื่นได้รับความไม่สะดวกเกิดการโต้เถียงลามไปถึงการทำร้ายร่างกาย
การใช้คีย์บอร์ด พิพากษาความถูกผิดของผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง และไม่ได้มีการรู้จักคนผู้นั้นจริงๆ โดยไม่คำนึงว่าใครจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างจากคำวิจารณ์ที่เขียนออกไป
หลายต่อหลายครั้งที่การใช้สิทธิของตัวเองโดยขาดการเคารพสิทธิของผู้อื่นนั้น นำมาซึ่งการขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง หลายครั้งที่เรื่องราวบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
การที่ลูกต้องเติบโตในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย การสอนและฝึกฝนทักษะในการเข้าสังคมให้กับเด็ก ๆ สอนให้ลูกรู้จักเคารพตัวเองและเคารพผู้อื่น ยอมรับความแตกต่าง รู้จักความมีน้ำใจ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยให้ลูกเข้าใจและแสดงออกอย่างเหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆ
หากเราต้องการให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของเราก็ควรเริ่มต้นด้วย การเคารพสิทธิของผู้อื่นก่อนเช่นกัน
พ่อแม่สามารถสอนลูกให้เคารพผู้อื่นได้ โดยการเป็น ตัวอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะลูกเรียนรู้จากสิ่งที่พ่อแม่ทำมากกว่าสิ่งที่พ่อแม่สอน สำคัญที่สุดคือ การเริ่มต้นจากการที่ พ่อแม่ให้ความเคารพลูก รับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของเค้า เมื่อลูกเคารพตัวเองแล้วก็จะสามารถเรียนรู้ในการเคารพผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน
สอนให้ลูกรู้จักสื่อสารและรับฟังผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนน้อม โดยเริ่มจากการพ่อแม่พูดจาสุภาพและรับฟังใช้เหตุผลคุยกับลูก
สอนให้ลูกปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเคารพ ง่ายๆ เริ่มจากเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่นไม่พูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะ เข้าคิวขณะซื้ออาหาร ทิ้งขยะเป็นที่ ไม่คุยโทรศัพท์เสียงดังบนรถไฟฟ้า ไม่วิ่งเล่นในร้านอาหาร หรือรักษามารยาทในห้องสมุด
สอนให้ลูกมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักขอโทษเมื่อทำผิดพลาด และ ขอบคุณเมื่อได้รับสิ่งที่ดีๆ แม้อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม และสำคัญมากที่จะชี้ให้ลูกเห็นถึงผลของการกระทำของเราที่มีต่อคนอื่น เช่น
“ลูกเห็นไหม รถคันข้างๆ ให้ทางแม่เข้ามาจอดรถส่งลูก ที่หน้าโรงเรียน แม่รู้สึกดีและขอบคุณเค้ามากๆเลย แม่ก้มหัวให้เค้าแทนคำขอบคุณ แม่ว่ามันน่าจะทำให้เค้ารู้สึกดีเหมือนกัน “
“ลูกดูสิ น้องดีใจมากๆเลยที่หนูแบ่งขนมให้ ขอบคุณนะลูก แม่ดีใจจัง หนูมีน้ำใจจริงๆ”
“ขอบคุณที่ลูกช่วยงานบ้านแม่นะคะ แม่หายเหนื่อยเลยชื่นใจจริงๆ“
“แม่ไม่ชอบเลยที่ลูกว่าเพื่อนแบบนั้น ลูกคิดว่า ถ้ามีใครมาว่าลูกแบบนี้บ้าง ลูกจะรู้สึกยังไงคะ “
สอนลูกให้เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง ไม่ล้อเลียนไม่วิพากษ์วิจารณ์วิจารณ์ผู้อื่นเพียงเพราะเค้าแตกต่างหรือคิดไม่เหมือนกันกับเรา
“เพราะหนึ่งคำพูดที่คนพูดออกไปโดยไม่จำ อาจจะสร้างความเจ็บปวดและผลกระทบให้คนฟังที่จำโดยไม่อาจลืม”
สอนให้ลูกปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฎิบัติกับเรา อะไรที่เราไม่ชอบให้ผู้อื่นทำกับเรา เราก็ไม่ควรทำกับผู้อื่นเช่นกัน
ฝึกให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล ความถูกต้องเหมาะสมในการแสดงออกเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ลูกสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำได้ โดยการฝึกฝนบ่อยๆ ชวนลูกพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และคิดหาทางปฎิบัติที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น
ลูกคิดว่าผู้กระทำ และ ผู้ถูกกระทำในเหตุการณ์นี้รู้สึกอย่างไร ?
ลูกคิดว่าใครได้รับผลกระทบอย่างไรกับเหตุการณ์นี้บ้าง?
หากเป็นลูก ลูกคิดว่าลูกจะทำอย่างไร ?
เตือนให้ลูกระลึกอยู่เสมอว่าในขณะที่เราทำอะไรก็ตามที่คิดว่ามันเป็นสิทธิของเรา ผลจากการกระทำของเราตัองเป็นการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นเช่นกัน
เพราะลูกไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ตามลำพัง การเคารพสิทธิตัวเองและผู้อื่นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างเกื้อกูลและสงบสุข มาร่วมด้วยช่วยกันสร้างสังคมที่น่าอยู่ของเราและลูกร่วมกันนะคะ
ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดอยากฝึกฝนวิชาการเลี้ยงลูกเชิงบวก รู้จักสื่อสารกับลูกอย่างมีคุณภาพ อยากให้มาลองเรียนฟรีๆกับ www.netpama.com ดูนะคะ สามารถเรียนเมื่อไรที่ไหนก็ได้ มีตัวอย่างให้ดูเยอะมากกก บอกเลยว่าชีวิตเปลี่ยนแน่นอน