พ่อแม่ก็ต้องชาร์จแบตให้ตัวเอง
การเป็นพ่อแม่ เป็นประสบการณ์ที่ทั้งล้ำค่าและท้าทาย
การเลี้ยงลูกมีทั้งเรื่องที่น่าสนุก น่าภูมิใจ แต่ในบางครั้งก็ทำให้รู้สึกหนักอึ้ง
ระหว่างทางที่ได้เฝ้ามองลูกเติบโต มีทั้งเรื่องที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกสุขใจและทุกข์ใจปะปนกันไป
แต่ในวันที่เหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว พ่อแม่ก็จำเป็นต้องชาร์จแบตให้ตัวเอง
ความสุขของการเป็นพ่อเป็นแม่ก็คือการได้เห็นรอยยิ้มของลูก ได้ดูแล เอาใจใส่ สนับสนุนลูก ปรารถนาให้เขาได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
การเป็นพ่อแม่ทำให้เรานึกถึงความสุขของลูกและความสุขของคนในครอบครัวก่อนตัวเองเสมอ จนบางทีก็เราลืมนึกถึงตัวเอง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว การคอยดูแลตัวเอง หมั่นเติมพลังใจให้ตัวเองก็สำคัญไปไม่แพ้กว่าการดูแลคนอื่น
หากเหนื่อยล้า ท้อแท้ หมดพลังเรี่ยวแรง
การหันกลับมามองความต้องการของตัวเอง การนึกถึงความสุขของตัวเองก่อนคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องที่เห็นแก่ตัว..
เพราะถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ได้มี ‘ เวลาคุณภาพ ’ ให้กับตัวเองบ้าง ได้หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพกายสุขภาพใจตัวเองให้เข้มแข็ง น้ำหนักของความทุกข์และความเครียดที่สะสมไว้ก็จะได้เบาบางลง
เมื่อจิตใจได้ผ่อนคลาย จะส่งผลให้ รู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง รู้สึกดีขึ้นกับครอบครัว และรู้สึกดีขึ้นกับชีวิต
และเมื่อพ่อแม่มีความสุข ก็จะส่งต่อความสุขไปให้ลูก ครอบครัวก็จะยิ่งมีความสุข มีสายสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้น
เวลาคุณภาพที่ได้มอบกับให้ตัวเองนั้น คือ ตัวช่วยสำคัญสำหรับคนเป็นพ่อแม่ แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ ก็ช่วยฟื้นฟูจิตใจจากความเหนื่อยล้าได้มากทีเดียว เหมือนการได้ชาร์จแบตให้ชีวิตกลับมามีพลังงานเต็มเปี่ยมพร้อมสู้อีกครั้ง
วันนี้ Net PAMA จึงอยากจะขอนำเสนอวิธีง่าย ๆ ที่ทำแล้วเหมือนได้ชาร์จแบตตัวเองให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองทำกันดูนะคะ
Stepแรก เราต้องโยนคำว่าพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบทิ้งไปก่อน เพราะการเลี้ยงลูกถึงจะไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ต้องใช้ทั้งใช้ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก และเด็กแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมตำราเลี้ยงดูประจำตัว พ่อแม่จึงอาจจะมีบางเรื่องที่ไม่รู้ มีบางเรื่องที่ผิดพลาดไป แต่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ยอมรับความผิดพลาดนั้นแล้วให้อภัยตัวเองนะคะ เพราะพ่อแม่ก็คือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง และอยากให้บอกกับตัวเองไว้ว่า..
" เราพยายามอย่างดีที่สุดเสมอมา เพื่อที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดสำหรับลูก "
Step ต่อไป คือ ไม่ไหวไม่ฝืน มีบางครั้งที่ลูกก็ทำให้เราหัวร้อนจนแทบจะระเบิดออกมา ถ้าพ่อแม่รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองว่าอีกนิดต้องปรี๊ดแตกแน่ ๆ แนะนำให้แยกตัวเองออกมาก่อนค่ะ ยังไม่ต้องสั่งสอน ยังไม่ต้องเคลียร์ใจกัน ออกมาหาที่นั่งเงียบ ๆ ให้อารมณ์สงบแล้วค่อยเข้าไปพูดคุยปรับความเข้าใจกับลูกทีหลังจะดีกว่าค่ะ
พักจากหน้าจอ หรือ social detox ก็ช่วยให้สมองได้ผ่อนคลายจากข้อมูลข่าวสารมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาไม่มีหยุด แล้วหันกลับมามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อาจจะหาหนังสือดี ๆ สักเล่มไว้อ่าน หางานอดิเรกทำ เช่น จัดดอกไม้ ทำอาหาร หรือจะออกกำลังกายก็เป็นทางเลือกที่ดีนะคะ
ออกไปเที่ยวบ้าง ถ้ามีเวลาว่างสักหน่อย อาจจะออกไปเที่ยวหรือไปทำสิ่งที่อยากทำก็ได้ค่ะ เช่น ดูหนัง นวด สวนสาธารณะ ไปทะเล ภูเขาหรือจะไปช็อปปิ้ง หาเวลาทำกิจกรรมสนุก ๆ ให้จิตใจได้ผ่อนคลายบ้าง
เปลี่ยนบรรยากาศในบ้าน ก็ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้ไม่แพ้การไปเที่ยวนะคะ เพราะบ้านคือสถานที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน การได้เห็นห้องที่รก ๆ กลายเป็นห้องที่มีระเบียบเรียบร้อย ก็ช่วยทำให้สบายตาสบายใจขึ้นได้ไม่น้อย หรืออาจจะหาแจกันใส่ดอกไม้ที่ชอบมาไว้ในบ้าน หาดอกไม้สวย ๆ มาปลูกไว้ในสวน ก็ช่วยให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้นได้ค่ะ
เติมเต็มความสุขสงบทางใจ ด้วยการสวดมนต์ ไหว้พระ เข้าวัดทำบุญ ไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาที่โบสถ์หรือมัสยิดตามความศรัทธา ก็ช่วยให้รู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นได้ไม่น้อยเลยค่ะ
ข้อสุดท้าย อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ หากรู้สึกไม่ไหวจนหาทางออกไม่ได้ อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว หาทางระบายกับคนที่สนิทหรือไว้ใจ หรือจะพูดคุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักบำบัด ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกหรือน่าอายแต่อย่างใด
คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลที่มีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยค่ะ
https://hospital-setting.my.canva.site/
แล้วคุณพ่อคุณแม่แต่ละท่านมีวิธีการชาร์จแบตเติมพลังให้ตัวเองยังไงกันบ้าง ?
มาแชร์กันนะคะ :-)
Netpama ขอเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ดีของทุกครอบครัว ♥️
หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดต้องการศึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวก หรือศึกษาทักษะพื้นฐานในการสื่อสารเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนในครอบครัว สามารถเข้ามาศึกษาได้ในคอร์สจัดเต็ม ซึ่งจัดทำโดยทีมจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยา ที่ www.netpama.com เรียนฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่านำไปใช้จริงได้แน่นอนค่ะ
บทความโดย ซันเดย์